12.00 คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 แถว L สายการบิน Saudia Airlines (SV)
15.25 เดินทางสู่ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยสายการบิน Saudia Airlines เที่ยวบินที่ SV 847
(ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 8 ชั่วโมง)
18.55 คณะเดินทางถึง กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ โรงแรม NOVO Hotel โรงแรมระดับ 4 ดาว ท้องถิ่น โรงแรมเปิดใหม่ ย่านใจกลางเมือง
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม พระราชวัง มูร์รับบา Murabba Palace ในอดีตเคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย ก่อสร้างในสไตล์ของนัจจาดีน Najdean ภายในพระราชวังมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และรูปถ่ายของกษัตริย์ มีโรลส์-รอยช์ ของกษัติย์ที่จัดแสดงในปี 2489 เป็นของขวัญจากนายกรัฐมนตรี วินสตัน เซอร์ชิลล์ ของอังกฤษ จากนั้นชม ป้อมปราการ อัล มัสมัค Al Masmak Fort ภายนอกเป็นอิฐโคลนและดินเหนียว เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ในเวลาต่อมาถูกใช้เป็นคลังเก็บกระสุน ต่อมาได้ถูกพิชิต โดย กษัตริย์ อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด และได้ถูกรวบรวมเป็นอาณาจักรและแคว้นต่าง ๆ ไว้เป็นประเทศซาอุดิอาระเบียจนทุกวันนี้
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร อาหารจีน
นำท่านเดินเปลี่ยนเป็นรถ 4WD เดินทางสู่ ยอดเขา ฟี รานย์ Jebel Fihrayn หรือที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ “ดินแดนสุดขอบโลก” The Edge of the World เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดของซาอุดิอาระเบีย สมกับเป็นดินแดนสุดขอบโลกจริง ๆ เป็นสวรรค์ของนักถ่ายภาพอย่างแท้จริง เมื่อท่านได้มานั่งหรือยืนอยู่ตรงจุดหน้าผาที่สูงและชันที่สุด ท่านจะได้เห็นวิวแบบพาโนรามา 360 องศา ดูคล้ายกับว่าไม่สามารถที่จะเดินไปใหนได้อีกแล้ว มันสิ้นสุดและหยุดตรงจุดเส้นสุดขอบฟ้าไม่ว่าท่านจะหันไปทางทิศใดก็ตาม พร้อมกับเก็บภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ที่มีสีส้ม สีทอง เป็นปรากฏการทางธรรมชาติงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ให้ท่านได้เก็บภาพความประทับใจได้ตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร อาหารไทย
พักค้างคืน ณ โรงแรม NOVO Hotel โรงแรมระดับ 4 ดาว ท้องถิ่น โรงแรมเปิดใหม่ ย่านใจกลางเมือง
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นให้ท่านได้พักผ่อนหรือจะเดินเล่นบริเวณรอบตัวโรงแรมได้ตามอัธยาศัย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร อาหารพื้นเมือง
นำท่านเดินทางสู่ ซุปเปอร์ มาร์เก็ต ซื้อของใช้ส่วนตัว ของที่ระลึกพื้นเมือง ผลไม้พื้นเมือง ฯลฯ ตามอัธยาศัย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ หมู่บ้านมรดกโลกดิรอียะฮ์ Al Diriyah ในอดีตนั้นเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และเป็นบ้านของครอบครัว Al Saud ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ UNESCO World Heritage Site ในปี ค.ศ. 2010 ท่านจะได้สัมผัสกับงานออกแบบของยุคสมัยใหม่ผสมผสานกับยุคเก่า ได้อย่างลงตัวที่สุด โดยเริ่มต้นตั้งแต่ทางเข้าจะเต็มไปด้วย ร้านอาหารระดับดาวมิชลิน Michelin Star หลายสิบร้าน (แต่ละร้านจะต้องทำการสำรองที่นั่งก่อนเท่านั้น) แม้กระทั่งโรนัลโด นักฟุตบอลซุปเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ยังต้องมีร้านร้านอาหารเป็นของตนเอง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ภายในหมู่บ้านมรดกโลกดิรอียะฮ์แห่งนี้นั้น ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซาอุดิอาระเบีย National Museum of Saudi Arabia ให้ท่านได้รับรู้ประวัติศาสตร์ของซาอุดิอาระเบีย ที่จัดแสดงได้อย่างลงตัวและทันสมัยเป็นอันมาก ต่อจากนั้นนำท่านเดินเดินข้ามที่ราบลุ่ม Wadi Hanifah ไปยังเขต Al Turaif ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี
เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร อาหารไทย
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ให้ท่านได้อิสระเดินเล่น หรือจะเลือกรับประทานอาหารนานาชาติ โดยเชฟ ระดับมิชลิน ของชาติต่าง ๆ หรือจะเลือกไปนั่งชมการแสดง แสง สี เสียง ที่เล่าอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยเลเซอร์ที่คมชัดส่งตรงไปตัวกำแพงที่สูงชันที่ทำมาจากดิน ถ่ายทอดได้อย่างยิ่งใหญ่สุดอลังการ
พักค้างคืน ณ โรงแรม NOVO Hotel โรงแรมระดับ 4 ดาว ท้องถิ่น โรงแรมเปิดใหม่ ย่านใจกลางเมือง
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่สนามบิน
10.30 เดินทางสู่ เมืองอัลอุลา โดยสายการบิน Saudia Airlines เที่ยวบินที่ SV 1574
(ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 1 ชั่วโมง 55 นาที)
12.25 คณะเดินทางถึง เมืองอัลอุลา จากนำท่านสู่ Caravan by Habitas
บ่าย รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของ Caravan by Habitas พร้อมกับวิวสุดอลังการของเทือกเขาหินทราย ร่องโตรกภูผา ที่ธรรมชาติได้สรรสร้างได้อย่างลงตัว จนบางครั้งทำให้มีความรู้สึกว่า ณ เวลานี้ตัวของเรานั้นอยู่บนดาวอังคาร หรืออยู่บนโลกใบนี้กันแน่ เมืองอัลอุลานั้นได้ถูกจัดให้ เป็นเมืองมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก UNESCO World Heritage Site แห่งแรกของประเทศซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายลึกลับในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ที่มีความรุ่งเรืองที่ยาวนานกว่า 7,000 ปีมาแล้ว ได้เวลาพอสมควรนำท่านสู่ Maraya Concert Hall ตึกกระจก ที่ Guinness book ให้การรับรองว่าเป็น อาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ใช้เวลาสร้างเพียงแค่ 2 เดือน ครึ่ง ก็แล้วเสร็จ ใช้คนคนงาน 1,000 คน ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน เป็นหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองอัลอุลา ที่สำคัญเรียกว่าใครมาเมืองอัลอุลาแล้ว จะพลาดไม่ได้เลย ลองจินตนาการดูว่า หากตัวท่านได้ไปยืนโพสต์ท่าสวยๆ เท่ห์ๆ อยู่ตรงหน้าอาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่ตัวอาคารนั้นจะเต็มไปด้วยภาพสะท้อนวิวทิวทัศน์ของภูเขา โตรกหินรูปทรงต่าง ๆ ท่ามกลางทะเลทรายอาราเบียน รับรองได้เลยว่าเป็นภาพงดงามสุดอลังการรับรองได้เลยว่าเป็นภาพที่ไม่เหมือนที่ใหนบนโลกใบนี้อย่างแน่อน ได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางเข้าสู่ ที่พักระดับ 5 ดาว หรูหรา มาพร้อมกับราคาที่หรูหราเช่นเดียวกัน ณ Habitas AlUla
หลังจากเช็ค-อิน เรียบร้อยแล้ว พักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ที่พักสวยๆ แห่งนี้ หรือจะลงเล่นน้ำกับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยขุนเขาท่ามกลางทะเลทราย รวมถึงบรรยากาศที่พระอาทิตย์ตก ณ ที่พัก บอกได้เลยว่าสวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลกแน่นอน
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารไทย สุดหรู ไฮโซ Saffron Banyan Tree AlUla
อิมหร่อยกับรสชาติอาหารไทยแท้ 100% กับเชฟ คนไทย บอกเลยว่าสุดจริงๆ สำหรับอาหารไทยในเมืองอัลอุลา
หลังอาหารค่ำพาท่านเดินเล่น ย่านเมืองเก่าอัลอุลา AlUla Old Town กับความรู้สึกของการย้อนยุคในโลกอาหรับโบราณ ชมบรรยากาศเมืองเก่าที่มีบ้านเรือน ตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ที่ได้รับการบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมมาจากดิน เป็นเมืองโบราณผ่านอดีตกาลที่ยาวนาน ที่บ้านเรือนและตัวอาคารต่าง ๆ ที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาจากดินโคลนจริง ๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบ มันช่างเป็นความรู้สึกที่มีความพิเศษกับห้วงเวลา ณ ตอนนี้ ที่เรานำตัวของเรามาอยู่ใน ณ ห้วงเวลาที่ช่างวิเศษจริง ๆ ให้ท่านได้มีเวลาเดินเล่น เลือกซื้อของฝาก ของที่ระลึก หรือจะเลือกซื้อชุด เครื่องแต่งกายสไตล์อาหรับ ไว้สำหรับถ่ายภาพตามสถานท่องเที่ยวในวันต่อ ๆ ไป
พักค้างคืน ณ โรงแรม Habitas AlUla ที่พักสุดหรูที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก
ที่พักสไตล์แคมป์ แต่เป็นแคมป์ระดับ 5 ดาว ภายนอกดีไซน์ดูราวคล้ายกับเต้นท์ทั่วไป แต่ภายในนั้นเป็นที่พักสุด หรูหรา ตามไสตล์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางทะเลทรายก็ตาม เป็นอีกหนึ่งที่พักในฝันของใครหลาย ๆ คน ต้องมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารเช้าของโรงแรม
ห้องอาหารเช้าที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของเมืองอัลอุลา เมื่อมองผ่านบานประตูกระจกออกไปด้านหน้าก็จะพบกับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย โอบล้อมไปด้วยขุนเขาที่มีรูปทรงต่าง ๆ ตรงกับคอนเซ็ปของที่พัก คือ OUR HABITAS Breakfast with a View
นำท่านเดินทางสู่ Mada’ in Salih ที่รู้จักกันในนาม เฮกรา Hegra เป็นแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ในอัลอุลา ซากปรักหักพังของโบราณสถานส่วนใหญ่นั้นมีอายุตั้งแต่สมัยราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 และถือเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนาบาเทียน เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหานครเพตรา ของจอร์แดน ในปี ค.ศ. 2008 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้สถานที่แห่งนี้เป็น มรดกโลกแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย 1st UNESCO World Heritage Site
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารนานาชาติ
นำท่านเดินทางสู่ เมืองดาดัน Dadan เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประติมากรรมที่งดงาม มีอายุราวในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ให้ท่านได้ชมงานแกะสลักภูเขาหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า สุสานสิงโต หรือ Lion’s Tombs โดยที่มีบันไดจากพื้นราบขึ้นไปสู่ตัวสุสานด้านบน เป็นสุสานที่มีสำน้ำตาลแดงที่แกะสลักเป็นรูปสิงโต 2 ตัว อยู่ด้านบนหน้าปากทางเข้าของสุสาน คาดว่าเป็นสุสานของชนชั้นผู้ปกครองอาณาจักรในสมัยนั้น จากนั้นนำท่านนั่งรถต่อไปชม ภูเขาอิคมะห์ Jabal Ikmah เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวลิเฮียนไนท์ Lihyanite ระหว่างทางเดินจะเต็มไปด้วยศิลปะการจารึกลงบนแผ่นหิน มีภาพและข้อความจารรึกในภาษาต่าง ๆ โดยที่ข้อความสวนใหญ่บนแผ่นหินนั้นจะเขียนด้วยภาษาดาดันนิติค เป็นภาษาที่ใช้กันในอาณาจักรดาดัน และมีอีกหลายข้อความที่จารึกที่กำลังรอการพิสูจน์จากนักโบราณคดี จากนั้นนำท่านสู่ หินรูปช้าง Elephant Rock หรือในภาษาอาหรับเรียกว่า Jabal AlFil เป็นหินที่มีรูปร่างเหมือนช้างขนาดใหญ่ ยืนเอางวงค้ำพื้นทะเลทรายอยู่ มีความสูง 52 เมตร และมีฉากหลังเป็นภูเขาหินทราย นักท่องเที่ยวหลาย ๆ ท่านที่ได้ไปเยือนในเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ต่างมีความรู้สึกตรงกันว่า การได้รอชมพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าด้านหลังหินรูปช้างนั้น เป็นภาพที่งดงามติดตาตรึงใจไม่แพ้สถานที่ใดในโลก และเราก็จะรอชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วยกัน
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารไทย สุดหรู ไฮโซ Saffron Banyan Tree AlUla
อิมหร่อยกับรสชาติอาหารไทยแท้ 100% กับเชฟ คนไทย บอกเลยว่าสุดจริงๆ สำหรับอาหารไทยในเมืองอัลอุลา
พักค้างคืน ณ โรงแรม Habitas AlUla ที่พักสุดหรูที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก
ที่พักสไตล์แคมป์ แต่เป็นแคมป์ระดับ 5 ดาว ภายนอกดีไซน์ดูราวคล้ายกับเต้นท์ทั่วไป แต่ภายในนั้นเป็นที่พักสุด หรูหรา ตามไสตล์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางทะเลทรายก็ตาม เป็นอีกหนึ่งที่พักในฝันของใครหลาย ๆ คน ต้องมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารเช้าของโรงแรม
อิสระให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย จะเลือกเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ ที่พักสวย ๆ แห่งนี้ หรือจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติภูเขาหินทราย โตรกหินรูปทรงสวยงามต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ซึมซับบรรยากาศกับที่พักระดับ 5 ดาว หรูหรา ราคสูง แต่ด้วยราคาที่สูงก็มาพร้อมกับกิจกรรมมากมายหลากหลายชนิดที่มีไว้คอยบริการลูกค้า
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารภายในที่พัก
เป็นร้านอาหารที่หรูหรา ไฮโซ อาหารจะเป็นอินเตอร์ผสมผสานกับสไตล์ท้องถิ่น ด้านหน้าห้องอาหารจะมีสระน้ำขนาดใหญ่ ล้อมร้อบด้วยวิวภูเขา จุดที่นักท่องเที่ยวและบรรดาเหล่านางแบบ เซเล็ปคนดังทั่วโลก ต่างต้องมาถ่ายภาพ ณ บริเวณห้องอาหารคู่กับสระน้ำ ถ้ามาเยือนเมืองอัลอุลาแล้ว ไม่ได้มาถ่ายภาพเก็บความทรงจำกับวิวหลักล้าน ณ บริเวณสระน้ำนี้แล้วนั้น ถือว่าท่านมาไม่ถึงเมืองอัลอุลา
จากนั้นนำท่านเดินทางโดยรถโค้ชสู่ เมืองมาดีนะห์ Madinah (ระยะทาง 371 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมง) ระหว่างทางท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของเทือกเขาหินทราย ที่มีรูปร่างแปลกตาเรียงรายตามสองข้างทาง เป็นภาพที่หาดูได้ยาก
เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร อาหารจีน
พักค้างคืน ณ โรงแรม Holiday Inn Madinah Hotel 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารเช้าของโรงแรม
เมืองมาดีนะห์ เป็นเมืองที่สำคัญอันดับสองรองจากมักกะห์ เป็นที่ฝังศพของท่านศาสดามูฮัมหมัด นำท่าน ชมบริเวณภายนอก มัสยิดอันนะบาวี Al Masjid An Nabawi หรือ มัสยิดของท่านศาสดา Prophet’s Mosque เป็นมัสยิดที่มีความสำคัญรองมาจากมัสยิดฮารอมในเมืองมักกะห์ บริเวณรอบมัสยิดจะมีร่มที่มีขนาดใหญ่ที่ทำการตั้งเวลาหุบและกลางร่มอย่างตรงเวลา ร่มชนิดนี้จะใช้ผ้าใบสั่งทำพิเศษ และมีเพียงที่เดียวในโลก สร้างตามคำสั่งของกษัตริย์ อับดุลเลาะห์ บิน อับดุลอาซิซ มีร่มจำนวนทั้งหมด 250 คัน โดยใช้เงินลงทุนมหาศาลถึง 47,000 ล้านบาท (บริเวณที่มีร่มนั้น อนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถ่ายภาพในบริเวณร่มได้) มัสยิดนาบาวีแห่งนี้จะเปิดตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ภายในมัสยิดจะมีบ้านของท่านศาสดามูฮัมหมัด และหลุมฝังศพของท่าน หลังจากนั้นนำท่าน ชมภูเขาอุฮุด Mount Uhud ภูเขาที่ชาวมุสลิมเชื่อกันว่ามาจากสวรรค์ เป็นสถานที่เกิดสงครามครั้งที่ 2 คือสงครามอุฮุด ระหว่างชาวมุสลิมและชาวเมืองมักกะห์ ภูเขานี้มีสีแดง ทอดตัวยาว 7 กิโลเมตร ตั้งตระหง่านอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ใกล้ๆกันมีภูเขาเล็กๆชื่อรูมะห์ ที่ซึ่งพลธนูของกองทัพมุสลิมประจำการ เมื่อครั้งสงครามอุฮุดอุบัติขึ้น ต่อมานำท่านชม วาดีย์อัลญินหรือหุบเขาแม่เหล็ก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ภูเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าลี้ลับ ทำให้รถสามารถวิ่งขึ้นเขาเองได้ โดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ ล้อมรอบไปด้วยทรรศนียภาพที่น่าตื่นตา ตื่นใจ ชวนให้หลงใหล เราจะไปพิสูจน์ด้วยกัน
บ่าย รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร อาหารพื้นเมือง
17.00 นำท่านนั่ง รถไฟความเร็วสูง Haramain High Speed Train เดินทางสู่ กรุงเจดดาห์
18.54 เดินทางถึง กรุงเจดดาห์ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ภัตตาคาร
เย็น รับประทานอาหารเย็น ภัตตาคาร อาหารไทย
พักค้างคืน ณ โรงแรม Radisson Blu Hotel, Jeddah Corniche 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารเช้าของโรงแรม
นำท่านสู่ ย่านเจดดาห์คูรนิช Jeddah Corniche หรือ เจดดาห์ วอเตอร์ ฟร้อนท์ Jeddah Waterfront สถานที่พักผ่อนที่สำคัญของชาวเมืองเจดดาห์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งของทะเลแดง มีถนนเลียบชายฝั่งมีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตรมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครับ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ประติมากรรมขนาดใหญ่รูปทรงต่าง ๆ
บ่าย รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร อาหารจีน
นำท่านชมย่าน เมืองเก่าเจดดาห์ อัล บาลัด Al Balad เป็นศูนย์กลางของในอดีต มีบ้านไม้โบราณสวยงามเรียงรายตามถนนโดยตลอดสองข้างทาง เทศบาลเมืองเจดดาห์เริ่มพยายามอนุรักษ์เล็งเห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และได้มีการก่อตั้งสมาคมอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เจดดาห์ เพื่อรักษาสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ ในปี 2002 ได้มีการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 4 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับสังคมอนุรักษ์ในปี ค.ศ. 2009 อัล บาลัด ได้รับการเสนอชื่อจากสำนักงานคณะกรรมการการท่องเที่ยวและโบราณวัตถุของซาอุดิอาระเบียให้เพิ่มในรายการมรดกโลกของ UNESCO และได้รับการยอมรับในปี ค.ศ. 2014 ให้ท่านได้พักผ่อนเดินชมตลาดอาหรับแบบดั้งเดิม ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวกับตลาดที่มีความเก่าแก่ที่สุดในเจดดาห์ ตลาดอัล อะลาวี Souk Al Alawi ในย่านบาลัด อันเก่าแก่ของ เมืองเก่า เจดดาห์ ระหว่างทางเดินในย่านเมืองเก่า นำท่านแวะเข้าชม บ้านนาซีฟ Naseef House บนถนนซุค อัลอะลาวี ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมืองเจดดาห์ ภายในบ้านมีการเก็บรักษาอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ในสมัยโบราณ ได้อย่างดี ให้ท่านได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้ตามอัธยาศัย จากนั้นเดินต่อไปยัง ประตูมักกะห์ Mecca Gage ตั้งอยู่ด้านนอกของเมืองเจดดาห์ บนถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองมักกะห์ เป็นประตูทรงโค้งบนถนน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1979 ในสมัยนั้นนักแสวงบุญที่เดินทางไปแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ทุกคนจะต้องเดินทางผ่านประตูแห่งนี้ทั้งสิ้น ให้ท่านได้เก็บภาพคู่กับประตูมักกะห์ ได้ตามอัธยาศัย
เย็น รับประทานอาหารเย็น ภัตตาคาร อาหารไทย
ส่งท้ายก่อนที่จะอำลา ประเทศซาอุดิอาระเบีย กับอีกหนึ่งจุดหมายที่ไม่ควรพลาด นำท่านสู่ ย่านเจดดาห์คูรนิช Jeddah Corniche หรือ เจดดาห์ วอเตอร์ ฟร้อนท์ Jeddah Waterfront อีกครั้ง เพื่อชมน้ำพุที่มีความสูงที่สุดในโลกในยามค่ำคืน โดยพ่นน้ำได้สูงถึง 312 เมตร มีชื่อว่า น้ำพุกษัตริย์ ฟาฮัด King Fahad Fountain สามารถมองเห็นได้โดดเด่นชัดเจน นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพในยามค่ำคืน โดยมีฉากหลังที่มีน้ำพุกของษัตริย์ ฟาฮัด ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางสู่ สนามบิน กรุงเจดดห์ เตรียมตัวเดินทางสู่ กรุงเทพมหานคร
01.55 เดินทางสู่ กรุงเทพมหานคร โดยสายการบิน Saudia Airlines เที่ยวบินที่ SV 844 (ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 7 ชั่วโมง 45 นาที)
13.40 คณะเดินทางถึง สนามบินสุวรรรภูมิ ด้วยความปลอดภัย พร้อมความประทับใจ
6/162 ถนน วิภาวดีรังสิต แขวง สนามบิน เขต ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210